Article 8-23 ทำความรู้จักกับน้ำมันเบส น้ำมันเบสหรือน้ำมันพา – (Carrier oil or Base oil)

 

Carrier Oil / น้ำมันเบสหรือน้ำมันพา น้ำมันสกัดธรรมชาติ หรือที่เรียกกันว่า Carrier Oil, Base Oi หรือน้ำมันพา น้ำมันพื้นฐาน น้ำมันเบส เป็นน้ำมันที่ได้จากพืชทั่วไป ซึ่งส่วนใหญ่สกัดได้มาจากเมล็ด มีกลิ่นบ้างหรือไม่มีเลยขึ้นอยู่กับประเภทน้ำมันและวิธีการสกัด และประกอบด้วยกรดไขมันเป็นหลัก อ่อนโยนและสามารถใช้กับผิวได้โดยตรง แต่อาจมีระดับความเบาและความหนืดที่แตกต่างกัน จึงต้องศึกษาตัวรายละเอียดเพื่อนำไปใช้ให้ถูกวัตถุประสงค์ อย่างไรก็ตามถึงแม้จะเป็นน้ำมันธรรมชาติที่ สามารถใช้ทาลงผิวได้เลย แต่สำหรับผู้ที่มีอาการแพ้ง่ายยังจำเป็นที่จะต้องทดสอบ (Patch testing) ลงบนผิวก่อนเสมอ

 

วิธีการสกัดน้ำมันที่นิยมในอุตสาหกรรมปัจจุบัน

1.    Extra Virgin Oil

คือน้ำมันที่ได้จากการบีบอัดหรือคั้นจากส่วนใดส่วนหนึ่งของพืชในขั้นต้นโดยไม่ใช้ความร้อน (Cold press) หรือการสกัดน้ำมันออกมาด้วยไอน้ำ (Steam extract) โดยใช้อุณหภูมิที่ต่ำกว่า 30 องศาเซลเซียส ทำให้สารอาหารโดยธรรมชาติของน้ำมันไม่ถูกทำลาย ซึ่ง Extra virgin oil นี้ จะต้องมีปริมาณ Free Fatty Acid (FFA) ไม่เกิน 1% จึงถือว่าเป็นรูปแบบของน้ำมันที่ดีที่สุดที่ยังคงกลิ่นและรสตามธรรมชาติของพืชชนิดนั้น ๆ

นอกจากนี้ Extra virgin oil ยังเป็นน้ำมันชนิดบริสุทธิ์พิเศษที่มีสีและกลิ่นค่อนข้างเข้ม มีกระบวนการสกัดเพิ่มขึ้นไป และกำหนดค่า Free Fatty Acid (FFA) ที่ต่ำลงไปอีก เช่น น้ำมันมะกอก ค่าเป็นกรดต้องต่ำกว่าร้อยละ 1 ถ้าเป็นน้ำมันสำหรับอาหารจะใช้ในอาหารประเภทสลัด ซอส ไม่ควรนำไปทอดเพราะทนความร้อนได้ไม่ดี

 

        2. Virgin Oil

คือน้ำมันที่ได้จากการบีบอัดหรือคั้นออกมาเป็นครั้งที่สอง โดยใช้ไอน้ำที่อุณหภูมิต่ำกว่าที่จะไม่ทำลายกลิ่นและรสชาติตามธรรมชาติของพืช พืชที่ใช้สกัดก็อาจจะเป็นพืชที่ค้างจากฤดูเก็บเกี่ยวมาเป็นเวลานานก็ได้ Virgin oil ก็ยังถือว่าเป็นน้ำมันที่คงมีมาตรฐานของกลิ่นหอมและรสชาติตามธรรมชาติ เหมาะสำหรับนำมาทำสลัดหรือปรุงอาหารอื่น ๆ ที่ต้องการกลิ่นและรสตามธรรมชาติ

นอกจากนี้ Virgin Oil หรือน้ำมันสกัดเย็นบริสุทธิ์นั้น จะต้องได้มาตรฐานการผลิตที่กำหนดค่า Free Fatty Acid (FFA) ไม่เกิน 4% หรือตามมาตรฐานของน้ำมันแต่ละชนิดที่กำหนดไว้ใน Specification และตัวค่า Acid Value จะต้องไม่เกิน 2% หรือตามมาตรฐานกำหนดเช่นกัน

 

       3. Cold Pressed / Unrefined Oil

ได้จากกระบวนการบีบวัตถุดิบด้วยเครื่องบีบหรือกดไม่ว่าจะเป็นแบบสกรูหรือแบบไฮดรอลิกกด  ทั้งนี้การสกัดจะต้องถูกควบคุมให้มีความร้อนและอุณหภูมิไม่เกิน 120 องศาฟาเรนไฮต์หรือ 49 องศาเซลเซียส ซึ่งจะได้องค์ประกอบธรรมชาติของพืชที่มีคุณภาพสูงเช่น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันมะกอก จะได้น้ำมันที่มีคุณภาพที่มีสารประกอบธรรมชาติสูงสุดโดยไม่ถูกทำลายไปกับความร้อน ได้สีและกลิ่นตามธรรมชาติของพืชนั้น ๆ จัดเป็นน้ำมันกลุ่มคุณภาพดีในลำดับต้น ๆ ที่นิยมเลือกมาใช้

 

      4. Expeller Pressed

คือการสกัดจากเครื่องจักรไฮดรอลิกชนิดสกรูกดบีบน้ำมันออกจากเมล็ดโดยใช้แรงเสียดทานและแรงดันอย่างต่อเนื่อง โดยมีอุณหภูมิสูงกว่าถึง 140-210 องศาฟาเรนไฮต์ หรือ 60-99 องศาเซลเซียส ซึ่งจะแตกต่างจากวิธีสกัดเย็น (Cold pressed) ที่อุณหภูมิจะไม่เกิน 120 องศาฟาเรนไฮต์ หรือ 49 องศาเซลเซียส โดยวิธีนี้เป็นที่นิยมเนื่องจากสามารถดึงน้ำมันออกมาได้ 87-95% และยังคงคุณภาพที่ดี หลังจากแยกกากและน้ำมันแล้ว ส่วนของกากที่เหลือจะอยู่ในรูปเค้กแข็งสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในทางอาหารสัตว์ได้

 

      5. น้ำมันสกัดร้อน หรือน้ำมันสกัดผ่านกรรมวิธี (Refined Oil)

กระบวนการผลิตน้ำมันในกลุ่มนี้จะผลิตในโรงกลั่นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและกรรมวิธีการสกัดที่ซับซ้อนกว่าแบบอื่น และใช้สารเคมีตัวทำละลายร่วมด้วยในบางกระบวนการ และอาจใช้ความร้อนสูงถึง 450 องศาฟาเรนไฮต์ (230 องศาเซลเซียส) และต่ำสุดที่ –30 องศาฟาเรนไฮต์ ขึ้นอยู่กับชนิดของพืช ทำให้ได้น้ำมันที่มีสี กลิ่น ความเบาบางของเนื้อน้ำมันที่มีมาตรฐาน รวมถึงคุณลักษณะพิเศษ เช่น ไม่เป็นไขเมื่ออยู่ในที่อุณหภูมิต่ำ เป็นการสกัดที่เอากลิ่น สี ออกไป จัดเป็นกลุ่มยอดนิยมสำหรับการนำไปใช้ในกลุ่มเครื่องสำอางผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกาย ครีม บาล์ม เพราะปราศจากกลิ่นและสี

 

      6. Pomace

เป็นน้ำมันที่ได้จากการใช้ตัวทำละลายกับกากพืช (ส่วนที่เป็นเม็ดในและเนื้อแห้ง ๆ) รวมไปถึงน้ำมันที่ได้จากการผสมกันระหว่าง Virgin oil และ Refined oil น้ำมันที่ได้มักจะถูกวัดออกมาในรูปภาวะความเป็นกรดเป็นด่าง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วปริมาณความเป็นกรดจะต่ำ จะมีราคาถูกกว่า เช่น Olive oil Pomace ซึ่งนิยมนำไปใช้ในการผลิตสบู่